Tuesday, April 9, 2013

อ้ายและเอื้อยหน้าเจื่อนไป เพราะยังอยากใกล้ชิดปกรณ์และอั๋น

“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะครับ ทำไมเราไม่ทัวร์ปราสาทด้วยกันเลย”

“ไม่ดีหรอกค่ะ เรามากันสี่คน ก็ควรไปด้วยกันสี่คน อิ่มไม่ชอบให้มีคนนอกเข้ามายุ่มย่าม ยิ่งเป็นพวกลูกพ่อค้าวาณิช ยิ่งไม่น่าเสวนาด้วยใหญ่ อ้ายหันมามองอิ่มอย่างเอาเรื่อง แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวาน “คุณปกรณ์คะ อยากดูคุกใต้ดิน แต่หนูอ้ายกลัวค่ะ พาไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

“ยินดีครับ”

“อ้อ คุณอั๋นคะ หนูเอื้อยเป็นคนกลัวความมืด ความชื้น เห็นว่าข้างล่างทั้งมืดทั้งชื้น ดูแลหนูเอื้อยให้หน่อยนะคะ”

“ดะ ดะได้ครับ ทะ...ทะ...ทางนี้เลยครับหนูเอื้อย”

เอื้อยไปกับอั๋น อิ่มอ้าปากค้าง

“คุณชายคะ ช่วยดูแลรสาด้วยนะคะ รสาเองก็กลัวความมืด”

“ไม่ต้องห่วง” ปวรรุจพารสาไป

“เดี๋ยว....แล้ว...แล้วฉันล่ะ คุณปกรณ์อิ่มก็กลัวความมืดเหมือนกัน”

“ก็ไม่อยากเสวนากับเราก็ไปเองละกันนะคะ คุณอึ่ง”

“ฉันชื่ออิ่ม”

“ไปค่ะ คุณปกรณ์” อ้ายควงปกรณ์ไป อิ่มอยากร้องกรี๊ด
                 
ทั้งหมดลงมาที่โถงใหญ่คุกใต้ดิน  บรรยา กาศทะมึนน่ากลัว สาว ๆ เบียดชิดกับหนุ่มทั้งสามมีเพียงอิ่มที่เดินหน้างออยู่ลำพัง  อากาศเย็นยะเยียบมากขึ้น เสียงนักท่องเที่ยวกระแอมเสียงดังลั่น   เอื้อยสะดุ้ง  เผลอตัวเข้ากอดอั๋น  อั๋นตะลึงไป หน้าแดงหูแดง  แต่แขนรีบโอบเอื้อยไว้

ปวรรุจพารสามาที่รอยจารึกของลอร์ดไบรอน ที่เสาใหญ่ต้นที่สาม รสาขอให้ปวรรุจท่องบทกวี “นักโทษแห่งชิยอง” ให้ฟัง ปวรรุจท่องบทกวีที่แปลแล้วให้ฟัง รสาชมว่าเพราะพร้อมถามหาคนแปล พอรู้ว่าปวรรุจเป็นคนแปลเองก็ยิ่งชื่นชม ปวรรุจดีใจมากที่นอกจากจะถูกรสาชมแล้ว รสายังเลิกเรียกตัวเองว่า “ฉัน” เปลี่ยนเป็น “รสา” แทนแล้ว

ทั้งหมดเดินมาหยุดอยู่ตรงทางลดระดับ ซึ่งเป็นทางแยกลงไปห้องใต้ดิน อิ่มพยายามรั้งไม่ให้ทุกคนลงไปชั้นใต้ดิน แต่ทุกคนยืนยันจะลงไปให้ได้ อิ่มโมโหสะบัดหน้าหนีกลับขึ้นไปรอด้านบนเพียงลำพัง

หลังจากเดินชมปราสาทเสร็จ ทั้งหมดพากันไปทานอาหารด้วยกัน ปกรณ์พอรู้ว่าสามสาวยังไม่มีโปรแกรมเที่ยวก็รีบเอ่ยปากชวนให้ร่วมขบวนไปด้วย กันทันที อิ่มไม่พอใจมาก พอทานอาหารเสร็จ รีบเดินตามไปหาเรื่องรสาที่หน้าห้องน้ำ

“นี่เธอ  เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันรู้นะว่าเธอต้องการอะไรจากคุณชายรุจ”

“ฉันต้องการอะไร”

“อยากจะจับคุณชายใช่ไหม  พวกลูกสาวพ่อค้าก็แบบนี้จ้องจะจับเจ้ารวย ๆ หวังจะได้สกุลเก่าเหง้าผู้ดีมาเสริมบารมีของตัวเอง” 

“คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะคุณอิ่ม”

“ไม่เกินไปหรอก เพราะฉันเพิ่งแอบได้ยินเรื่องของเธอมาเมื่อกี้ เธอมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว  ที่เธอมาที่สวิสเพื่อมาตามคู่หมั้นของเธอ แล้วเธอก็ผิดหวังเสียเหลือเกินที่รู้ว่าคู่หมั้นเธอนอกใจ  เธอก็เลยรีบหันมาจีบคุณชายรุจไว้เป็นหลักยึดคนใหม่  แทนอาเฮียใจง่ายของเธอ”

“ที่เธอพูดทั้งหมดเนี่ย เพื่ออะไร”

“อ้าว....ก็ให้เธอเลิกหวังว่าจะจับคุณชายเสียทีไงล่ะ  เลิกรากับคุณชายเสียแล้วก็กลับไปหาอาเฮียคู่หมั้นของเธอเพราะลูกพ่อค้าด้วย กันย่อมเหมาะสมกันอยู่แล้ว”

“เพื่อหลีกทางให้เธออย่างนั้นใช่ไหม”

“ฮิฮิ...ก็ใช่.....ไม่อยากบอกเลยว่า คุณ ชายจีบฉันตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง”

“งั้นเหรอ  ถ้าอย่างนั้นคุณชายจะปฏิเสธคู่หมั้นของเธอได้ยังไงกันล่ะ”

“หา....อะไรนะ คู่หมั้น คู่หมั้นที่ไหน”

“อ้าว เธอไม่รู้หรอกหรือว่าคุณชายมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ตายจริง  ถ้าคุณชายไม่ได้บอกเธอก็แสดงว่าคุณชายหลอกจีบเธอเข้าแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็หัวอกเดียวกันนะ ทั้งคุณชายรุจ ทั้งอาเฮียของฉันหลอกจีบเราทั้งคู่ เฮ้อ....ผู้ชายนะผู้ชาย”

รสาพูดจบก็รีบเดินหนีไปที่รถ อิ่มเดินตามไปหาเรื่องรสาต่อ

“เราหมดเรื่องคุยกันแล้วค่ะ”

“แต่ฉันยังไม่หมดเรื่องคุยกับเธอ ฉันไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดแม้แต่นิด คุณชายไม่มีคู่หมั้นคู่หมายที่ไหน เธอสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น  คิดให้ดี ๆ นะ  เรื่องที่เธอจะร่วมเดินทางไปกับฉัน  กว่าจะถึงอินเตอร์ลาเก้นเราต้องร่วมทางกันไปอีกกว่าสองชั่วโมง คงไม่สนุกนักหรอกนะที่เราจะต้องเบียดอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น”

รสาถอนใจ  ที่จริงเห็นด้วยกับอิ่ม  พอรสาเดินหนีไปแล้ว อิ่มหันไปเห็นกระเป๋าสะพายของรสาอยู่ในรถ อิ่มตาลุก ยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบหยิบกระเป๋าของรสาขึ้นมา

0 comments:

Post a Comment